1
เวลาที่เราเอาความฝันของเราไปปรึกษาคนอื่น คำแนะนำต่างๆ ที่ได้ยิน จะต้องมีประโยคแนะนำสุดคลาสสิกประโยคที่ว่า “โลกแห่งความฝัน กับโลกแห่งความจริงมันไม่เหมือนกันนะเว้ย” อยู่ด้วยแน่ๆ ซึ่งมันเหมือนจะเป็นคำเตือน เหมือนจะเป็นคำแนะนำ แต่ที่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือ ที่ว่าไม่เหมือนน่ะ มันไม่เหมือนกันยังไงวะ
แบบ...พี่ช่วยลงรายละเอียดหน่อยได้มั้ยฮะ
2
ผมเพิ่งจะทำความฝันอย่างหนึ่งในชีวิตสำเร็จไป—มีบ้านเป็นของตัวเอง
คำพูดที่ผมบ่นบ่อยที่สุดในระหว่างการต่อเติมบ้านคือ “ทำไมกูไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยวะ?” เอาจริงๆ นะ ทำไมเรื่องบางเรื่องไม่มีใครมาบอกเราก่อนว่า การมีบ้านมันจะนำพามาซึ่งเรื่องยุ่งยากขนาดนี้มาก่อน เหมือนกับตอนที่ผมเปลี่ยนสายงานจากพนักงานโรงแรมมาเป็นพนักงานครีเอทีฟโฆษณา ผมก็มักจะมีความคิดแบบนี้แวบเข้ามาในหัวบ่อยๆ “ถ้ารู้งี้ ไม่มาทำงานนี้หรอก”
เรื่องสำคัญบางอย่าง ทำไมถึงไม่มีการบอกเล่ากันเลยวะ ทำไมต้องให้กูมาเผชิญเวรกันเองด้วยนะ
หรือว่า นี่คือราคาที่ต้องจ่าย
หรือว่า นี่คือดอกจันเล็กๆ ที่ตอกไว้บนคำว่า ‘ความฝัน'
ที่หอมหวานเกินกว่าที่เราจะสนใจหมายเหตุของดอกจันดอกนั้น
3
ผมคิดเล่นๆ ว่า ถ้าความฝันมันมีดอกจันหมายเหตุแบบโปรโมชั่นมือถือจริงๆ มันจะดีมั้ยถ้ามีใครสักคนเอาแว่นขยายมาส่องตัวหนังสือเล็กๆ ของหมายเหตุดอกจันให้เราอ่าน หรือเอาหมายเหตุดอกจันเหล่านั้นมาขยายความให้เราเข้าใจง่ายขึ้น
โดยหวังว่าคนที่กำลังลังเลสงสัยความฝันของตัวเอง จะได้พบคำตอบของประโยคที่ว่า “โลกแห่งความฝัน กับโลกแห่งความจริงมันไม่เหมือนกันนะเว้ย”
และจะได้ไม่ไปบ่นในตอนหลังว่า “ทำไมกูไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยวะ?”
4
ระหว่างที่เขียนต้นฉบับเล่มนี้ ผมได้ติดต่อขอสัมภาษณ์เพื่อนพี่น้องที่ได้ทำงานในฝันของใครหลายๆ คนมาพูดคุยเพื่อนำค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องพบเจอ มาเป็นข้อมูลเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ระหว่างที่เขียนต้นฉบับ ผมรู้สึกว่ามุมมองที่เรามีต่ออาชีพในฝันหลายๆ อาชีพมันเป็นแค่เปลือกบางๆ ชั้นนอกสุดเท่านั้น ที่จริงมันยังมีเรื่องอีกมากมายที่เราไม่เคยรู้มาก่อน หลายๆ เรื่องจุกจิกในระดับน่ารำคาญเหมือนโดนมดคันไฟไต่ตามตัวอยู่ตลอดเวลา
คำถามที่ผมถามเกือบทุกคนก่อนจบการสัมภาษณ์คือ ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียกับสิ่งที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่ากันหรือไม่ ทุกคนตอบว่าคุ้ม ผมเชื่อว่าหลายคนเสียมากกว่าได้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ได้มาแม้จะไม่เยอะ แต่ถ้ามันเป็นใจความสำคัญของสิ่งที่อยากได้ที่สุด แค่นั้นมันก็คุ้มแล้ว
5
พี่ที่เป็นแนวร่วมยุติฝันท่านหนึ่งบอกผมว่า จริงๆ แล้วการที่คนหนึ่งคนออกมาบอกว่ามีความฝันอยากทำแบบนั้นทำแบบนี้ เขาอาจจะแค่ฝัน แต่ไม่ได้อยากทำจริงๆ ก็ได้ เพราะคนที่อยากทำอะไรจริงๆ โดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาจะข้ามขั้นตอนการฝัน และเริ่มทำเลย ทำก่อนที่ตัวเองจะรู้ตัวว่าจะทำซะอีก ทำก่อนที่ตัวเองจะรู้สึกว่ากำลังฝัน ทำจนมารู้ตัวอีกที เออ กูทำมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ จะว่าไปแล้วโคตรจริง เพราะจากการที่ผมสัมภาษณ์แนวร่วมยุติฝันมาหลายคนนั้น เกือบทุกคนทำสิ่งเหล่านั้นก่อนที่จะเริ่มฝันว่าอยากจะทำด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นบางทีการฝันอาจเป็นการลังเลอย่างหนึ่ง และถ้าใครกำลังลังเลแล้วเปิดหนังสือเล่มนี้เพื่อหาคำตอบ
ผมหวังจริงๆ
ว่าคุณจะหยุดฝัน
แล้วเจอกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in